วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ปัญหาสีทาบ้านลอก ร่อน

          อาคารบ้านเรือนหลายหลังที่พบว่ามีอาการวิบัติของสีที่ใช้ในการทาบ้าน หรือที่ภาษาชาวบ้านเขามักจะเรียกว่า “สีลอก สีร่อน” จริง ๆ แล้วอาการที่ว่าก็เกิดจากสาเหตุไม่กี่อย่าง แต่พอจะมีวิธีป้องกัน และแก้ไขเสียก่อน

          ตั้งแต่กระบวนการก่อสร้าง หลักการข้อแรกคือ ต้องพึงนึกอยู่เสมอว่า สีกับความชื้นจะไม่ถูกกัน ฉะนั้นถ้ามีสิ่งที่ก่อให้เกิดความชื้น ก็ไม่ควรที่จะลงมือทำอะไรที่เกี่ยวกับสีครับ เช่น ในกรณีหน้าฝนที่มีฝนตกลงมาเช่นนี้ ก็ไม่ควรที่จะให้ช่างสีลงมือทาสีเลยทันที โดยเฉพาะผนังภายนอก หลังจากฝนตกแล้วควรทิ้งไว้สัก 2-3 วันหรือมากกว่านั้นได้ยิ่งดี เพื่อให้ความชื้นในผนังหมดไปเสียก่อน จึงได้ฤกษ์ลงมือทาสีกันได้
     ปัญหาต่างๆเรื่องสีที่เราพบได้บ่อยครั้งในบ้านและ ที่อยู่อาศัยทั่วไปมักจะพบปัญหาดังนี้


         1.ปัญหารอยแตกร้าวของสีและผนังบ้าน ซึ่งเกิดจากโครงสร้างและ ผนังมีการเคลื่อนตัว ,การฉาบปูนหรือผนังไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐาน
         วิธีแก้ไขปัญหารอยแตกร้าวของสีและ ผนังบ้าน ให้ทำการขัดล้างสีเดิมที่เสื่อมสภาพออก(ห้ามใช้แปรงลวด)เมื่อล้างทำความสะอาดแล้วทิ้งให้แห้ง2-3วัน
         2.เชื้อรา เกิดจาก ผนังปูนมีความชื้นทำให้เกิดเชื้อราและ ตะไคร่น้ำ ฟิล์มสีไม่ทนเชื้อราไม่ใส่สารป้องกันเชื้อรา ตะไคร่น้ำ
         วิธีแก้ไขปัญหาเชื้อราบนผนังให้ทำการขัดล้างทำความสะอาดคราบเชื้อราและ ตะไคร่น้ำออกด้วยแปรงพลาสติกแล้วทิ้งให้แห้งสนิทเสร็จแล้วทาน้ำยา บริเวณผนังที่เกิดคราบเชื้อราและ ตะไคร่น้ำแล้วทิ้งให้แห้ง
         3.สีเสื่อมสภาพเป็นฝุ่นผง เกิดจากฟิล์มสีหมดอายุ หรือ เสื่อมสภาพจากการใช้งานผิดประเภท
          วิธีแก้ไขปัญหาสีเสื่อมสภาพเป็นฝุ่นผง ให้ทำการขัดล้างทำความสะอาดด้วยแปรงพลาสติกหรือ ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ที่มีแรงดัน 150-200 บาร์แล้วทิ้งให้แห้งสนิท
เมื่อแห้งสนิทดีแล้วจึงค่อย ทาสีใหม่ หากเป็นบริเวณภายนอกให้ใช้สี  บริเวณภายในให้ใช้สี
         4.สีลอกล่อนเกิดจาก การเตรียมพื้นผิวไม่ดีไม่เรียบ หรือมีฝุ่นผงติด,ใช้สีคุณภาพต่ำ ที่มีคุณสมบัติยึดเกาะไม่ดี, ความชื้นทำให้เกิดช่องว่างระหว่างสีและผนังบ้าน
          วิธีแก้ปัญหาสีลอกล่อนให้ทำการขูดลอกสีที่พองล่อนออก ให้หมด ขัดล้างทำความสะอาดสีลอกล่อนด้วยแปรงพลาสติกออกให้หมด แล้วทิ้งให้แห้งสนิท หากพบว่ามีรอยแตกร้าวให้ซ่อมแซมด้วย 

     โดยบริษัทรับเหมาก่อสร้าง แต่ละที่จะต้องใส่ใจในลายละเอียด ซึ่งบริษัทวันเอ็ม จำกัด จะดูแลบ้านของท่านในทุกขั้นตอนการก่อสร้าง และจะคอยรายงานความคืบหน้าทุกระยะ เราใช้ช่างผู้ชำนาญงานในทุกด้าน ท่านสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลของเราที่สำนักงานที่อุบลราชธานีและศรีสะเกษหรือ โทรมาที่ 093-559-9655

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การเลือกฝ้าเพดานในการก่อสร้างบ้าน

การบุฝ้าเพดาน


        ในปัจจุบันอาคารบ้านเรือนแทบทุกแห่งจะต้องมีการบุฝ้าเพดานตามห้องต่างๆ เพื่อความสวยงาม โดยเฉพาะห้องชั้นบนสุดเพื่อ ไม่ให้เห็นโครงสร้างหลังคา และแผ่นกระเบื้อง ส่วนห้องชั้นล่าง ที่ด้านบนเป็นพื้นหล่อหรือพื้นแผ่นเรียบอาจบุฝ้าเพดานหรือไม่ก็ได้ ขึ้นอยู่ กับความต้องการความสวยงาม เทียบกับความต้องการประหยัดของเจ้าของบ้านแต่ละราย เจ้าของบ้านบางรายอาจจะเห็นว่า การบุฝ้าเพดานไม่ใช่สิ่งจำเป็นมากนัก สำหรับการอยู่อาศัย บ้านที่ไม่ได้บุฝ้าเพดานก็ยังสามารถ อยู่อาศัยได้ สามารถคุ้มแดดคุ้มฝนได้ แต่อย่างไรก็ตาม การมีฝ้าเพดานจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อยู่อาศัยหลายประการ เช่น ทำให้เกิดความ สวยงามเรียบร้อย ช่วยปิดกั้นการเดินท่อ และสายไฟต่างๆ ด้านบนเอาไว้ ป้องกันฝุ่นตามร่องหลังคาที่อาจหลุดร่วงลงมา ช่วยให้การวาง ตำแหน่งดวงไฟต่างๆ ทำได้อย่างสะดวก และช่วยลดความร้อนจากหลังคาด้านบน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะเห็นว่าการบุฝ้าเพดานก็เป็นสิ่ง จำเป็นอย่างหนึ่ง และให้ประโยชน์ใช้สอยอย่างคุ้มค่าทีเดียว เจ้าของบ้านจึงไม่ควรจะมองข้ามความสำคัญนี้ไป

 วัสดุที่ใช้ทำฝ้าเพดาน
      เนื่องจากประโยชน์ใช้สอยของฝ้าเพดาน มีอยู่หลายแง่หลายมุมดังกล่าวแล้ว ฝ้าเพดานที่ผลิตออกมาในท้องตลาดจึงมีหลายแบบ หลายชนิด เพื่อสนองความต้องการในการใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ ทั้งนี้ การแบ่งชนิดของฝ้าเพดานจะขึ้นอยู่อยู่กับวัสดุ และองค์ประกอบ ของวัสดุที่ใช้เป็นส่วนใหญ่ วัสดุที่ใช้ทำฝ้าเพดานสำหรับบ้านเรือนทั่วไปที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดแบ่งออก ได้เป็น 4 ชนิดใหญ่ๆ คือ

กระเบื้องแผ่นเรียบ

ฝ้าเพดาน
      
             กระเบื้องแผ่นเรียบซึ่งมีชื่อเต็มว่า กระเบื้องซีเมนต์ใยหินแผ่นเรียบ (asbestos cement sheet) เป็นวัสดุก่อสร้างพื้นฐาน ที่รู้จักกัน และใช้กันมาเป็นเวลานาน มีคุณสมบัติที่แข็งแรง ไม่ติดไฟ ทนต่อน้ำ และความชื้น จึงสามารถใช้ทำได้ทั้งผนังของตัวบ้าน และ ฝ้าเพดาน แต่กระเบื้องแผ่นเรียบก็มีข้อเสียบางประการ เนื่องจากเป็นวัสดุที่มีความแข็งจึงยืดหยุ่นได้น้อย เมื่อโครงไม้ที่กระเบื้องแผ่น เรียบยึดติดอยู่เกิดการยืดหดตัวเนื่องจากอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงก็จะทำให้ กระเบื้องแผ่นเรียบเกิดรอยแตกร้าวได้ง่าย นอกจากนี้ การใช้ กระเบื้องแผ่นเรียบยังเกิดร่องหรือรอยต่อระหว่างแผ่นซึ่งดูไม่สวยงาม ปัจจุบันความนิยม ในการใช้กระเบื้องแผ่นเรียบ ลดน้อยลง เนื่องจากข้อเสียดังกล่าว ประกอบกับมีวัสดุอื่นที่มีคุณภาพดีกว่ามา ทดแทน แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกระเบื้องแผ่นเรียบ ยังมีคุณสมบัติเด่นคือทนต่อน้ำ และความชื้นจึงยังคงมีผู้ใช้กันอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่จะ ใช้ในการบุฝ้าเพดานตามชายคา บริเวณบ้าน หรือโรงรถที่มักจะมีความชื้นจากน้ำฝน

แผ่นยิปซัม


             แผ่นยิปซัม (gypsum board) เป็นวัสดุก่อสร้างที่ใช้สำหรับบุฝ้าเพดาน และกั้นห้องภายในที่นิยมใช้กันแพร่หลายใน ปัจจุบันมีคุณสมบัติเด่น คือ น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ให้ความปราณีตสวยงาม มีลวดลายต่างๆให้เลือก และยังมีหลายชนิดหลายขนาด ให้เลือก ใช้ตามวัตถุประสงค์ ที่ต่างกัน เช่น แผ่นยิปซัมชนิดธรรมดา ชนิดทนความชื้น ชนิดมีอลูมินัมฟอยล์กันความร้อน นอกจากนี้ ยังมีทั้งชนิดแผ่นใหญ่ สำหรับการติดฝ้าเพดานแบบฉาบเรียบไร้รอยต่อ และชนิดแผ่นเล็กสำหรับการติดฝ้าเพดานแบบแขวน (ที-บาร์) ซึ่งสามารถประกอบใส่ และถอดออกได้โดยง่าย

ฝ้าเพดานชนิดทำด้วยไม้

ฝ้าเพดาน
          
              ฝ้าเพดานชนิดทำด้วยไม้นี้มิใช่วัสดุสำเร็จรูปที่ใช้ทำฝ้าเพดานโดยเฉพาะ แต่จะเป็นลักษณะของฝ้าระแนงไม้ โดยการนำไม้ ที่มีลักษณะ เป็นแผ่นยาวหน้าแคบมาวางเรียงกันโดยแต่ละแผ่นอาจเว้นช่องเล็กน้อย เมื่อบุเสร็จแล้วฝ้าเพดานจะมีลักษณะเป็นซี่ไม้วาง เรียงกัน ส่วนใหญ่มักใช้ทำฝ้าเพดานสำหรับชายคาภายนอก ฝ้าเพดานชนิดทำด้วยไม้มีข้อดีคือให้ความสวยงามแปลกตาเป็นธรรมชาติ แต่ก็มีข้อเสียหลายประการ คือ วัสดุที่ทำด้วยไม้มีราคาแพง ติดไฟง่าย เกิดการผุกร่อนได้เมื่อใช้ไปนานปี ฝ้าเพดานชนิดนี้ถ้าการวางไม้ แต่ละซี่เว้นช่องห่างมากเกินไปก็จะเป็นที่อยู่อาศัยของแมลงต่างๆ และเป็นที่สะสมสิ่งสกปรก บางแห่งจำเป็นต้องบุมุ้งลวดไนลอน เพิ่ม เติมเข้าไปเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวซึ่งก็เป็นการเพิ่มขั้นตอน และค่าใช้จ่ายอีก ฝ้าเพดานชนิดนี้จึงไม่ค่อยมีผู้นิยมใช้กันมากนัก

ฝ้าเพดานชนิดทำด้วยอลูมิเนียม

ฝ้าเพดาน
       
          ฝ้า เพดานชนิดทำด้วยอะลูมิเนียมนี้จะมีลักษณะ และหน้าตาคล้ายกับ ฝ้าเพดานชนิดทำด้วยไม้ ข้างต้น คือจะป็นการนำซี่ อลูมิเนียมมา วางเรียงกัน โดยการสวมประกอบเข้าร่อง เมื่อบุเสร็จแล้วฝ้าเพดาน จะมีลักษณะเป็นซี่ คล้ายกับ ฝ้าเพดานที่ทำด้วยไม้ แต่จะไม่ มีช่องห่างระหว่างซี่ ดังเช่นฝ้าเพดาน ที่ทำด้วยไม้ เพราะเป็น การสวมเข้าร่อง ฝ้าเพดานชนิดทำด้วยอะลูมิเนียม ข้อดีคือให้ความสวยงาม แปลกตา และไม่ติดไฟ แต่มีข้อเสียคือ ไม่กันความร้อน และดูแข็งกระด้าง ไม่เป็นธรรมชาติส่วนใหญ่ มักใช้ทำ ฝ้าเพดานสำหรับชายคาภาย นอกอาคาร ที่มีลักษณะเป็น ห้างร้านมากกว่า ที่จะพบเห็นตามบ้าน
            นอกจากวัสดุที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังมีวัสดุอีกชนิดหนึ่งซึ่งสามารถนำมาทำเป็นฝ้าเพดานได้เช่นกัน ได้แก่ไม้อัด ไม้อัด เป็นวัสดุที่นิยมใช้กันมากในงานทำเฟอร์นิเจอร์ และงานตกแต่งต่างๆ ในด้านของงานก่อสร้าง ก็มีการนำมาใช้กันบ้างเพื่อทำผนังกั้นห้อง และฝ้าเพดาน ข้อดีของไม้อัด คือ มีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย ราคาไม่แพง แต่มีข้อเสีย คือ ติดไฟง่าย ขึ้นราง่าย และถ้าเป็นไม้อัดที่คุณภาพ ไม่ดีจะแตกปริ และเสื่อมสภาพได้เร็ว ปัจจุบันยังมีการใช้ไม้อัด ทำผนังกั้นห้องกันบ้างเนื่องจากให้ความสวยงามเป็นธรรมชาติของลายไม้ แต่ไม่ค่อยนิยม นำมาบุฝ้าเพดานเนื่องจากข้อเสียดังกล่าว ประกอบกับมีวัสดุทดแทนชนิดอื่น ที่มีคุณภาพดีกว่า มาใช้แทน ได้แก่ แผ่นยิปซัม และกระเบื้องแผ่นเรียบตามที่ได้กล่าวไปแล้ว
            นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมบางประการเกี่ยวกับการเลือกใช้วัสดุเพื่อเป็นข้อมูล และข้อคิดในการเลือกใช้วัสดุให้ เหมาะสมกับการใช้งาน ในแต่ละจุดโดยเฉพาะ แผ่นยิปซัมซึ่งนิยมใช้กันมากในปัจจุบัน และข้อสังเกตเกี่ยวกับขั้นตอนในการบุฝ้าเพดาน เพื่อให้ผลงานที่ออกมามีความเรียบร้อย ไม่ต้องแก้ไขกันภายหลัง

โดยการเลือกวัสดุที่ใช้ในการทำฝ้าเพดาน ก็แล้วแต่เจ้าของบ้านและความพอใจ เพราะราคาของฝ้าแต่ละชนิดจะแตกต่างกัน ซึ่งบริษัท วันเอ็มของเรา จะคอยให้คำปรึกษา และแนะนำให้เหมาะสมกับงบประมาณ โดยให้บ้านออกมาสวยงานที่สุด คุณสามารถปรึกษาสร้างบ้านได้ที่สำนักงาน บริษัท วันเอ็ม จำกัด ที่จังหวัดอุบลราชธานี และ จังหวัดศรีสะเกษ หรือโทรสอบถามได้ที่093-559-9655

ที่มา:novabizz.com




การทำเสาเข็มเจาะระบบแห้งโดยใช้สามขา (Dry Process Bored Pile)

ในการทำเสาเข็มเจาะชนิดนี้ ประกอบด้วยอุปกรณ์ค่อนข้างเล็กไม่ยุ่งยาก เคลื่อนย้ายสะดวก ไม่ต้องการบริเวณทำงานมากนัก อุปกรณ์หลักประกอบด้วย ขาหยั่ง 3 ขา ( TRIPOD ) ปลอกเหล็กชั่วคราว (Temporary Casing) กระเช้าตักดิน (Bucket) ลูกตุ้ม (Cylindrical Hammer) และเครื่องกว้านลม (Air Winch) ซึ่งมีขั้นตอนการทำเสาเข็มเจาะดังนี้
ขั้นตอนที่ 1. การจัดเครื่องมือเข้าศูนย์กลางเสาเข็มเจาะ ปรับ ตั้ง 3 ขา ให้ได้ตรงแนวศูนย์กลางของเสาเข็ม เมื่อตรวจสอบถูกต้องแล้ว จึงตอกหลักยึดปรับแท่นเครื่องมือให้แน่น แล้วใช้กระเช้าเจาะนำเป็นรูลึก (PRE – BORE) ประมาณ 1.00 – 1.50 เมตร
ขั้นตอนที่ 2. การตอกปลอกเหล็กชั่วคราว (CASING) ลง ปลอกเหล็กตรงตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ โดยใช้สามขา (Tripod Rig) และใช้ลูกตุ้มตอกปลอกเหล็กที่มีความยาวท่อนละ 1.20 – 1.50 เมตร ลงดิน ปลอกเหล็กแต่ละท่อนจะต่อกันด้วยเกลียว ความยาวของปลอกเหล็กโดยรวมต้องเพียงพอที่จะป้องกันชั้นดินอ่อนพัง ในขณะลงปลอกเหล็กจะทำการตรวจวัดค่าความเบี่ยงเบนไม่ให้เข็มเจาะเอียง โดยปรกติในการปฏิบัติ ค่าความเบี่ยงเบนที่ยอมให้คือ
  • ความเบี่ยงเบนแนวราบ 5 เซนติเมตร สำหรับเสาเข็มเดี่ยว
  • ความเบี่ยงเบนแนวราบ 7 เซนติเมตร สำหรับเสาเข็มกลุ่ม
  • ความเบี่ยงเบนแนวดิ่ง 1 : 100
(ทั้งนี้ให้ตรวจสอบข้อกำหนดตามรูปแบบรายการหรือสอบถามวิศวกรผู้ออกแบบ)
ขั้นตอนที่ 3. การเจาะและการใส่ Casing เมื่อ ตั้ง Tripod เข้าตรงศูนย์เข็มแล้ว ใช้ Bucket เจาะนำเป็นรูลึกประมาณ 1.50 ม.แล้วนำ Casing ซึ่g งทำเป็นท่อนๆ ต่อกันด้วยเกลียวตอกลงไปในรูเจาะในแนวดิ่ง จนลึกถึงชั้นดินแข็งปานกลาง (Medium Clay) ที่พอเพียงที่จะป้องกันการพังทลายของชั้นดินอ่อนและน้ำใต้ดินไว้ได้ จากนั้นใช้ Bucket ขุดเจาะเอาดินออกจนถึงชั้นดินปนทราย ซึ่งในเขตกรุงเทพมหานครมักจะอยู่ที่ความลึกประมาณ 18.0 -21.0 ม. (ขึ้นอยู่กับลักษณะทางธรณีวิทยาของแต่ละพื้นที่)
ข้อควรปฏิบัติ และข้อควรระมัดระวัง
  • ใน ระหว่างการเจาะเอาดินขึ้น ต้องตรวจสอบว่าผนังดินพังหรือยุบเข้าหรือไม่ โดยดูจากชนิดของดินซึ่งเก็บขึ้นมา ซึ่งควรจะต้องสอดคล้องกับความลึก และคล้ายคลึงกับเข็มต้นแรกๆ ถ้าตรวจพบว่าดินเกิดจากการเคลื่อนพังจะรีบแก้ไขในทันทีโดยตอกปลอกเหล็กชั่ว คราวให้ลึกลงไปอีก
  • การ ตรวจสอบก้นหลุม ใช้สปอร์ตไลท์หรือกระจกเงาส่องดูก้นหลุมว่ามีการยุบเข้า (CABE IN) มีน้ำซึมหรือไม่ ถ้ามีน้ำซึมที่บริเวณก้นหลุม จะใช้วิธีเทคอนกรีตแห้งลงไปประมาณ 0.10 ลบ.ม. โดยแบ่งเป็นชั้นๆ และกระทุ้งให้แน่นด้วยตุ้มเหล็ก เป็นการทำให้ก้นหลุมเจาะสะอาดและอัดแน่น ไม่มีเศษดินหรือทรายร่วนตกค้างอยู่ และยังอาจเกิดเป็น Bulb ของคอนกรีตแห้ง ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Bearing Capacity และลดค่า Settlement ของเสาเข็มเมื่อรับน้ำหนักบรรทุก (ในชั้นดินบางแห่งที่มีอัตราการซึมของน้ำใต้ดินค่อนข้างสูง การกระทุ้งด้วยตุ้มน้ำหนักอาจจะเปิดช่องน้ำใต้ดินให้ไหลเข้าสู่หลุมเจาะมาก ขึ้น)
  • ดินที่เจาะขึ้นมา ควรนำาออกมานอกบริเวณโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดน้ำหนักจร (SURCHARGE) ต่อเสาเข็มต้นถัดไป
ขั้นตอนที่ 4. ใส่เหล็กเสริม ปกติ จำนวนเหล็กเสริมมีค่าประมาณ 0.35% – 1.00 % ของพื้นที่หน้าตัดเสาเข็ม เหล็กเสริมนี้จะใส่ Spacer ที่ทำด้วย Mortar ไว้เป็นระยะ เพื่อช่วยประคองโครงเหล็กให้ทรงตัวอยู่ในรูเจาะ โดยมี Covering ไม่น้อยกว่า 7.5 ซม. อยู่โดยรอบเหล็กปลอก โดยทั่วไประยะห่าง ระหว่างเหล็กปลอกจะไม่เกิน 0.20 ม. ความยาวของการต่อทาบเหล็กในแต่ละท่อนเป็น 40 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางเหล็ก โดยยกให้ปลายเหล็กพ้นจากปลายล่างของหลุมเจาะประมาณ 0.50 ม.
ขั้นตอนที่ 5. การเทคอนกรีต ทำ การเทคอนกรีตลงในรูเจาะโดยเทผ่านกรวย (Hopper) ที่มีท่อปล่อยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6”– 8” เพื่อให้คอนกรีตหล่นลงก้นหลุมตรงๆ ไม่ปะทะผนังรูเจาะ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดการแยกตัวของคอนกรีตได้มาก และเนื่องจากงานหล่อคอนกรีตของเสาเข็มเจาะนั้นไม่สามารถใช้เครื่องเขย่าหรือ เครื่องจี้ได้ จึงต้องทำให้คอนกรีตมี Workability สูง โดยควบคุม Slump ให้มีค่าอยู่ระหว่าง 12.50 +/- 2.50 ซม.
ข้อควรปฏิบัติ และข้อควรระมัดระวัง
  • โดย ปรกติจะเทคอนกรีตจนเต็มหรือเกือบเต็มหลุมเจาะ ก่อนทำการถอนปลอกเหล็ก ซึ่งจะทำให้คอนกรีตมีความต่อเนื่องและขณะถอนปลอกเหล็กจะมองเห็นสภาพการยุบ ตัวของคอนกรีตได้ชัดเจน ทำให้มั่นใจได้ว่าเสาเข็มมีความสมบูรณ์ตลอดความยาว
  • การ เทคอนกรีตจนเต็มหรือเกือบเต็มหลุมเจาะนี้แม้จะเป็นข้อดี แต่จะกระทำได้สำหรับเสาเข็มเจาะที่เจาะดินไม่ผ่านชั้นทรายชั้นแรกเท่านั้น เพราะหากต้องเจาะผ่านชั้นทรายชั้นแรก จำเป็นต้องลงปลอกเหล็กยาวลงไปกันชั้นทราย การเทคอนกรีตขึ้นมามากเกินไป จะทำให้ไม่สามารถถอนปลอกเหล็กขึ้นได้ เพราะกำลังเครื่องจักรไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงต้องทำการเทคอนกรีต และถอนปลอกเหล็กกันดินเป็นช่วงๆ กรณีเช่นนี้ควรคอยตรวจเช็คระดับคอนกรีตภายในปลอกเหล็กตลอดเวลาที่ดำเนินการถ อน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าไม่มีการไหลดันของดินและน้ำเข้ามา จนทำให้เสาเข็มคอดหรือขาดจากกัน
  • รู เจาะเมื่อได้รับการตรวจสอบและอนุมัติให้เทคอนกรีตได้ ควรจะรีบทำการเทคอนกรีตทันทีเพื่อไม่ให้รูเจาะอ่อนตัวหรือกระทบความชื้นใน อากาศนานเกินไป จนสูญเสียแรงเฉือน (SKIN FRICTION) ได้
ขั้นตอนที่ 6. การถอดปลอกเหล็กชั่วคราว จะ ต้องเทคอนกรีตให้มีระดับสูงกว่าปลอกเหล็กชั่วคราว (CASING) พอสมควรจึงจะเริ่มถอดปลอกเหล็กขึ้น โดยปกติขณะถอดปลอกเหล็กจะต้องให้มีคอนกรีตอยู่ภายในปลอกเหล็กไมน่ ้อยกว่า 0.50 ม. เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ชั้นดินอ่อนบีบตัว ทำให้ขนาดเสาเข็มเจาะเปลี่ยนไป และเป็นการป้องกันมิน้ำใต้ดินไหลซึมเข้ามาในรูเจาะก่อนที่จะทำการถอดปลอก เหล็กชั่วคราวออกหมด จะเตรียมคอนกรีตให้มีปริมาณเพียงพอ และ จะต้องเผื่อคอนกรีตให้สูงกว่าระดับที่ ต้องการประมาณ 30-40 ซม. เพื่อป้องกันมิให้หัวเข็มในระดับที่ต้องการสกปรก เนื่องจากวัสดุหรือเศษดินร่วงหล่นลงไป ภายหลังจากการถอนปลอกเหล็กออกหมดแล้ว

ขั้นตอนที่ 7. การทำเสาเข็มต้นต่อไป เสา เข็มต้นต่อไปต้องอยู่ห่างจากเสาเข็มที่เพิ่งทำแล้วเสร็จ ไม่น้อยกว่า 6 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางเสาเข็ม หรือใกล้เคียงเสาเข็มต้นเดิมที่
ทำแล้ว เสร็จไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ดังนั้นในการทำเข็มเจาะ ควรมีการวางแผนการเจาะหรือการวาง Sequence ของการเจาะเสาเข็ม เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อเสาเข็มที่เพิ่งจะหล่อเสร็จใหม่ๆ


      ขั้นตอนในการตอกเสาเข็มเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากเพราะจะเป็นส่วนที่รองรับน้ำหนักทั้งหมดของบ้าน อาคาร จึงต้องใช้ช่างผู้ชำนาญงานและเคร่ีองมือที่ทันสมัย โดยบริษัท วันเอ็ม จำกัด เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง รับสร้างบ้าน  ซึ่งมีช่างและทีมงานวิศวกรที่ผ่านงานมาหลายโครงการ จึงทำให้คุณมั่นใจได้ว่า บ้าน อาคารของคุณจะออกมาแข็งแรงสวยงาน สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานของเรา โดยมีอยู่ 2 แห่ง คือ ที่ อุบลราชธานี และศรีสะเกษ หรือโทรสอบถามข้อมูลได้ที่เบอร์ 093-559-9655

ขอบคุณข้อมูลจาก: www.coe.or.th

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

งานฐานราก เสาเข็ม ในงานสร้างบ้าน

รูปแบบของงานเข็มในรูปแบบต่าง ที่ถูกนำมาใช้เพื่อรับน้ำหนักอาคารบ้านเรือน แตกต่างกันไปตามประเภทของเข็มนั้นๆ ดังนั้น จึงควรมีการเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงาน หรือเลือกให้เหมาะกับรูปแบบของอาคาร  โดยแบ่งออกได้ดังนี้
เข็มเจาะ 

           ปัจจุบันเป็นที่นิยมมากขึ้น ในกรณีที่จะนำมาใช้กับบ้าน เนื่องจากเทคนิค และวิธีการไม่ยุ่งยากมาก และราคาก็ไม่แพง ดังที่คิด เราใช้เข็มเจาะเมื่อมีความจำเป็นจะต้องตอกเข็มใกล้ๆ กับบ้านของคนอื่น เช่น ห่าง 0.80 เมตร โดยไม่อยากให้บ้าน ข้างเคียง มีปัญหาแตกร้าว ทรุด หรือซอยที่เข้าพื่นที่ก่อสร้าง มีขนาดแคบมากไม่สามารถจะขนส่งเสาเข็มต้นยาวๆ มาตอกได้ จึงจำเป็นจะต้อง ใช้เข็มเจาะ
            หลักการของเข็มเจาะก็คือ ใช้การขุดดินผ่านท่อเหล็กกลมกลวง ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 35 เซนติเมตรขึ้นไป แล้วแต่ การรับน้ำหนัก ของอาคาร โดยที่ปลาย 2 ข้างเป็นเกลียวหมุนต่อเนื่องลงไปในดิน เข็มเจาะสำหรับบ้านมักจะลึกโดยเฉลี่ย 21 เมตร (ผลการเจาะสำรวจ ชั้นดินในทางวิศวกรรม โดยปกติชั้นดินทรายที่รับน้ำหนักในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะลึกโดยประมาณ 19-22 เมตร) แล้วก็ตอก ท่อเหล็กกลมลงไปทีละท่อน แล้วขุดดินขึ้นมา ตอกลงไป จนได้ระดับความลึกที่ต้องการ แล้วจึงผูกเหล็ก ตามสเปค หย่อนลงไปในท่อ เทคอนกรีตตามส่วน จากนั้นจึงค่อยๆ ดึงท่อเหล็กขึ้นมาช้าๆ ทีละท่อนจนหมด แล้วจึงปิดปากหลุม รอจนกว่าปูนแห้งก็เป็นอันเสร็จพิธี จะเห็นได้ว่าความสะเทือนที่เกิดขึ้นรอบๆ เข็มเจาะนั้นน้อยกว่าระบบการใช้เข็มตอกลงไป ต่อกันเป็นท่อนๆ จนกว่าจะครบ

เข็มกด

           เป็นการลดความสะเทือนในการตอกเข็มอีกวิธีหนึ่ง และไม่ค่อยยุ่งยากใช้กับโครงสร้างที่ไม่ใหญ่โตหรือรับน้ำหนักมากนัก เช่น โรงรถ กำแพงรั้ว ห้องครัวชั้นเดียว หรืองานเร่งด่วนที่ไม่ต้องการตั้งปั่นจั่น เข็มกดเป็นวิธีการที่ใช้รถแบ็คโฮ ดึงเสาเข็ม คสล. รูปหน้าตัด 6 เหลี่ยม ขนาดยาวต้นละ 6 เมตร มากดโดยใช้แขนเหล็กของรถแบ็คโฮกดลงไป ซึ่งจะไม่มีความสะเทือนกับรอบๆ ข้าง วิธีนี้สะดวกและรวดเร็วแต่ให้ระวังแนวเสาเข็มต้องตั้งให้ตรงแล้วจึงกด ไม่เช่นนั้นเสาจะเบี้ยวหรือหัก หรือทำให้รับน้ำหนัก ได้ไม่ดีเท่าที่ควร

เข็มตอก

          เป็นเข็มที่มีราคาค่อนข้างประหยัด เมื่อเทียบกับเข็มเจาะ สามารถทำงานได้รวดเร็ว จึงเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย มานาน แต่ข้อเสียคือ ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนในเวลาตอกมากกว่าเข็มทุกประเภท และเกิดแรงอัดของดินที่เข็มถูกตอกลงไป แทนที่หน้าตัดของเข็ม อาจจะเป็นรูปตัว I หรือสี่เหลี่ยมตัน โดยทั่วไปจะมีขนาดยาวประมาณ 8-9 เมตรต่อท่อน จึงต้องต่อ 2 ท่อน เพื่อให้ได้ระยะความลึก เสาเข็มชนิดนี้ อาจจะทำให้อาคารบ้านเรือน ที่ติดกันแตกร้าว อันเนื่องจากแรงสั่นสะเทือน นอกจากนั้นการดำเนินการยังต้องใช้พื้นที่ เช่น การติดตั้งปั้นจั่น เข็มที่มีความยาว ก่อให้เกิดความ ไม่สะดวก ในการเคลื่อนย้าย

     ในการสร้างบ้านในแต่ละหลังจะมีโครงสร้างต่างๆ มากมาย โดยขั้นตอนทุกขั้นตอนต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ จึงจะทำให้งานออกมาสมบูรณ์และมีความคงทนแข็งแรง โดยเครื่องมือ และอุปกรณืที่นำมาใช้ในงานรับเหมาก่อสร้าง ต้องมีความแข็งแรง ทันสมัย โดย บริษัทวันเอ็น จำกัด  มีเคื่องมือที่ทันสมัย และควบคุมงานก่อสร้างโดยวิศวกร ทำให้เจ้าของบ้านมั่นใจได้ว่าบ้านของท่านมีความคงทนแข็งแรง มั่นคง คุณสามารถโทรปรึกษาได้ที่ 093-5599655 หรือที่ www.hbaan.com/building.html

วันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ตอกเข็มหล่อฐานราก สร้างบ้าน

            ขั้นตอนการปลูกสร้าง เป็นขั้นตอนที่ลูกค้าจะได้เห็นงานจริง ตั้งแต่เริ่มต้น โดยในขั้นตอนนี้ สถาปนิกและวิศวกรผู้ออกแบบรวมทั้งเจ้าของบ้านจะต้องให้ความสำคัญและใส่ใจในรายละเอียด โดยสถาปนิกจะต้องคอยควบคุมดูแลให้การก่อสร้างดำเนินไปตามแบบที่สางเอาไว้และให้คำปรึกษาแก้ผู้รับเหมาเมื่อเกิดปัญหาในการก่อสร้างหน้างาน โดยจะแบ่งตามลำดับขั้นตอนการก่อสร้าง คือ
ตอกเข็มหล่อฐานราก คานคอดิน และ ตั้งเสาชั้นล่าง
         เมื่อทำเสาเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตำแหน่งถูกต้อง ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการทำฐานรากเสาเข็มโดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
       1. ขุดดินให้มีความลึก ขนาด และตำแหน่งของถูกต้องตามแบบก่อสร้าง อาจจะใช้คนขุดหรือเครื่องจักรกลขุดก็ได้ และต้องหาระดับความลึกของฐานราก ในการขุดดินนั้นต้องเผื่อการบดอัดทรายหรือกรวด เทคอนกรีตหยาบ (lean concrete) เผื่อการเข้าแบบด้านข้าง ถ้าดินมีลักษณะดินอ่อนก็อาจขุดดินให้มีความลาดเพื่อป้องกันดินพังทลายลงในขณะก่อสร้างฐานรากด้วยและต้องระวังอย่าให้โดนเสาเข็มเพราะอาจจะทำให้เสาเข็มหักและเสียหายได้ หลังจากขุดเข็มเพื่อทำฐานรากบริเวณ Pile cut off ของเข็มไม่ผ่านการทดสอบหรือมีรอยแตก ถ้าเข็มส่วนที่ไม่สมบูรณ์ไม่ลึก ควรทำการลดระดับ pile cut off ลงแล้วเทฐานรากให้หนาขึ้น แต่อย่างไรก็ตามวิศวกรควบคุมงานควรควบคุมการตัดเสาเข็ม ตรวจสอบคุณภาพเข็มเพื่อไม่ให้เกิดการเสียหายซึ่งจะทำให้งานเกิดความล่าช้า

        ข้อควรคำนึง:ในการขุดดิน คือ ดินที่ขุดแล้ว อาจมาจากการทำเสาเข็มเจาะ หรือการขุดหลุมฐานราก ถ้าเยอะเกินไปให้ขนย้ายไปทิ้ง เพื่อให้สามารถทำงานได้สะดวกและป้องกันการพังทลายของหลุมฐานราก เนื่องจากน้ำหนักกดทับของดินขุดไว้ปากหลุมฐานราก แต่ถ้าดินที่ขุดขึ้นมาไม่มากนักก็สามารถกองไว้ที่ปากหลุม เพื่อไว้ถมฐานราก แต่ต้องไม่ทำให้ดินสไลด์แล้วทำให้หลุมฐานรากพังและที่สำคัญต้องให้สามารถทำงานได้สะดวก แต่ส่วนมากดินมักกองทิ้งอาจส่งผลต่อเสาเข็มเจาะที่เพิ่งเทใหม่ๆ ได้เนื่องจากน้ำหนักกดทับทำให้ดินบีบตัว
       2. เมื่อขุดได้ระดับที่ต้องการแล้ว จะทำระดับตัดหัวเข็มให้สามารถวางฐานรากได้ตามแบบกำหนด การตัดหัวเสาเข็มอาจโผล่เหล็ก Dowel ไว้ดีกว่าเพราะช่วยเพิ่มแรงยึดเหนี่ยวระหว่างเสาเข็มและฐานราก แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแบบก่อสร้างหรือวิศวกรผู้ควบคุมงานเสาเข็มในส่วนที่ยาวเกินความต้องการ ต้องเอาออกก่อน โดยใช้ไฟเบอร์ตัดรอบ ๆ และสกัดคอนกรีตออก หรือถ้าเป็นเสาเข็ม I ใช้ค้อนทุบที่ปีกเสา ใช้ที่ตัดเหล็กตัดลวดเหล็กเสริมคอนกรีตเสา หลังจากนั้นจึงใช้ไฟเบอร์ ตัดในตำแหน่งที่ต้องการ การตัดหัวเข็ม ต้องได้ระนาบสวย หลังจากตัดหัวเข็มแล้ว
       3. ทำการบดอัดทรายหรือกรวด และเทคอนกรีตหยาบ โดยที่ต้องตรวจสอบให้ได้ระดับตามที่แบบก่อสร้างกำหนด
       4. ก่อนทำการเช็คศูนย์เสา ช่างทำการตรวจสอบ ผังที่วางเอาไว้ตั้งต่อตอนตอกเข็ม ว่าเคลื่อนหรือไม่ โดยจากเช็คจากหมุดอ้างอิงที่ทำไว้ตอนวางผัง
       5. ตรวจสอบศูนย์เสาเข็ม เพื่อดูว่าเสาเข็มที่ทำไว้หนีศูนย์เกินกว่าค่าที่วิศวกรผู้ออกแบบได้ออกแบบไว้หรือไม่ หากหนีศูนย์เกินกว่าค่าที่กำหนดไว้จะได้ทำการแก้ไขต่อไปโดยอาจจะตอกเสาเข็มแซม ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของวิศวกรผู้ออกแบบ
       6. ทำความสะอาดหลุมฐานรากก่อนประกอบแบบหล่อและวางเหล็กเสริม
       7. ติดตั้งแบบหล่อฐานราก โดยที่แบบหล่ออาจเป็นไม้ เหล็ก หรือก่ออิฐบล็อกทำเป็นแบบหล่อก็ได้ การใช้อิฐบล็อกเป็นแบบหล่อ จะรวดเร็วและสะดวกกว่าไม้แบบเพราะไม่ต้องเสียเวลาถอดแบบหล่อ แต่ถ้าเป็นฐานรากใหญ่ที่คอนกรีตมีแรงดันมากไม่ควรใช้เพราะแบบหล่ออาจแตกพังทลายได้ การใช้อิฐบล็อกเป็นแบบหล่อจะทำให้ฐานรากหนาขึ้น แต่ทั้งนี้แล้วขึ้นอยู่กับแบบก่อสร้างหรือวิศวกรวิศวกรเป็นผู้กำหนด
เหล็กเสริมฐานรากต้องเป็นตามแบบก่อสร้าง ทั้งขนาด จำนวนเส้น ระยะห่างการวางเหล็ก การงอเหล็ก รวมทั้งระยะหุ้มคอนกรีตฐานรากอย่างต่ำ 6 - 7.5 เซนติเมตร

       8. ตรวจสอบแบบหล่อ เหล็กเสริม ค้ำยันแบบหล่อ ให้เป็นไปตามแบบก่อสร้าง โดยเฉพาะแบบหล่อและค้ำยันต้องแข็งแรง ถ้าเป็นดินอ่อนต้องระวังเป็นพิเศษ อาจใช้ไม้ตีเป็นตีนค้ำยันคล้ายกับผนังกันดินเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับแรงของค้ำยัน
       9. เทคอนกรีตฐานราก ก่อนเทคอนกรีตจะต้องทำความสะอาด หาระดับการเทคอนกรีตโดยการวัด Offset จากระดับหัวเสาเป็นความหนาของฐานรากแล้วทำเครื่องหมายไว้ และราดน้ำปูนในแบบหล่อก่อน จากนั้นจึงเทคอนกรีตโดยที่กำลังของคอนกรีต และค่าการยุบตัว (Slump)ได้ตามที่ระบุไว้ในแบบ และต้องมีการเก็บตัวอย่างคอนกรีตเพื่อทดสอบกำลังอัดได้ตามที่วิศวกรได้ออกแบบไว้หรือไม่ ทำให้คอนกรีตแน่นตัวโดยใช้เครื่องสั่นคอนกรีต การลำเลียงคอนกรีต อาจจะเกิดการแยกตัวได้เนื่องจากการขนย้าย และการเทคอนกรีตลงฐานรากทางที่ดีควรมีรางเป็นตัวช่วยในการลำเลียงคอนกรีต

        ไม่ว่าจะเป็นฐานรากแผ่หรือฐานรากเสาเข็มเมื่อเทคอนกรีตเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต้องคงแบบหล่อและค้ำยันไว้ก่อนเพื่อรอให้คอนกรีตแข็งตัว และสามารถรับน้ำหนักได้ สำหรับฐานรากโดยทั่วไปแล้วสามารถถอดแบบด้านข้างของฐานรากได้ภายในเวลา 1-2 วัน เมื่อถอดแบบแล้วต้องทำการบ่มคอนกรีตเพื่อให้ปฏิกิริยาไฮเดรชั่นดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จะทำให้คอนกรีตพัฒนากำลังได้อย่างสมบูรณ์ ทนทาน ทึบน้ำ ไม่สึกกร่อน และลดการหดตัว การบ่มคอนกรีตอาจใช้วิธีการขังน้ำ ฉีดน้ำ ใช้วัสดุเปียกชื้นคลุม ใช้แผ่นพลาสติกคลุม ใช้ไม้แบบหล่อบ่ม หรืออาจจะใช้สารเคมีเคลือบผิวคอนกรีตก็ได้ จะใช้วิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับวิศวกรผู้ควบคุมงานจะพิจารณา

        ขั้นตอนการตอกเสาเข็ม หรือการทำเสาเข็มที่เป็นรากฐานของบ้านถือเป็นส่วนสำคัญที่จะส่งผลต่อบ้านเพราะจะรับบน้ำหนักของตัวบ้านทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องใช้ความชำนาญในการสร้าง เราควรใช้บริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการสร้างบ้าน  หาคุณคิดจะสร้างบ้านบริษัท วันเอ็ม จำกัด เราคือบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ใช้วัสดุที่มีคุณภาพ มีบุคลากรที่มีความรู้ สามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มได้ที่ 093-5599655 หรือ www.hbaan.com/building-ubonratchathani.html

ขอบคุณข้อมูลจาก www.civilclub.net

     


ถมดิน ปรับพื้นที่สำหรับการสร้งบ้าน

ทำไม่จึงต้องมีการปรับพื้นดินในการก่อสร้างบ้าน อาคาร?

         ก่อนการก่อสร้างบ้านจะต้องมีการปรับที่ดินให้มีความเหมาะสม โดยการถมและขุด หรือบางทีอาจจะใช้ทั้ง การถมและการขุดไปด้วยกัน เช่น การขุดเพื่อทำสระน้ำ, สระว่ายน้ำ, แล้วนำที่ดินที่เหลือ จากการขุดไปถม ในส่วนที่จะทำ การก่อสร้างบ้าน ให้สูงขึ้นเป็นเนิน ซึ่งการถมดินแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบดังนี้
การถมดิน
             การถมดินในหน้าฝนนั้นเป็นงานอย่างหนึ่งที่ฝนพอจะมีประโยชน์ในงานการก่อสร้าง หรือจะให้ดียิ่งไปกว่านั้น ก็ควรจะเป็นช่วงก่อน หน้าฝนซักหน่อย ฝนที่ตกลงมาจะช่วยทำให้ดินที่ถมลงไปนั้นอัดแน่นขึ้น ในส่วนของการถมดินเองแบ่งได้เป็น 2 ประเภท

1. การถมดินแบบอัด
        การถมดินไปทีละชั้น มีความหนาชั้นละประมาณ 20 - 50 ซม. ขึ้นอยู่กับลักษณะดิน และการกำหนด ของผู้ออกแบบ แล้วก็บดอัดให้แน่นทีละชั้น หมดไปชั้นหนึ่งค่อยถมดินต่อ แล้วก็บดอัดอีก ทำแบบนี้จนกว่า จะได้ระดับตามที่เรา ต้องการ การถมแบบนี้จะได้ดินที่อัดแน่นดี มีการทรุดตัวน้อย
2. การถมดินแบบไม่อัด 
         ถมให้เต็มไปหมดทั้งพื้นที่ในคราวเดียว แล้วก็ค่อยบดอัดเฉพาะด้านหน้าผิวดิน การถมลักษณะนี้ ใช้ในการ ถมดินที่ไม่ต้องการความสูงมากนัก เพราะถ้าเป็นการถมค่อนข้างลึกเกินกว่า 1 เมตร การถมแบบไม่อัดนี้ มักจะมีปัญหา การทรุดตัว เป็นหลุมเป็นบ่อให้เห็นทีหลังได้ แต่ในการก่อสร้างบ้านนั้น โดยทั่วไปเกือบจะทั้งหมด ของโครงสร้างบ้าน จะถ่ายน้ำหนัก บน ฐานราก มีเสาเข็มเป็นส่วนรับน้ำหนัก และถ่ายน้ำหนักลงชั้นดิน ซึ่งสามารถ ตอกเข็มลึกลงไปจาก ชั้นผิวดินเดิมได้ จึงไม่เกี่ยวข้องกับ ระยะเวลา ที่เราถมดินใหม่ หรือต้องรอให้ดินทรุดตัว อัดแน่นเสียก่อน เว้นแต่เป็นโครงสร้างแบบบ้านแผ่ หรือในส่วนของอาคารที่ถูก ออกแบบ ให้วาง และถ่ายน้ำหนัก โดยตรงลงบนพื้น (Slab on Ground) เช่นโรงรถหรือถนน, ทางเท้า ซึ่งจำเป็นต้องมีการบดอัดดินที่ถม ให้แน่น จนแน่ใจว่า ไม่มีการทรุดตัวเสียก่อน จึงจะลงมือก่อสร้าง และถ้ารักจะปลูกต้นไม้ใหญ่ๆ ที่มีรากชอนไชลงไปลึก ๆ ก็ต้องพยายาม ถมดินมากกว่าถมทรายขี้เป็ด อาจถมยากหน่อย ทรุดตัวมากหน่อย ถ้ามีเวลารอก็จะคุ้ม แต่ถ้าไม่ต้องการปลูกต้นไม้ใหญ่ ๆ อาจจะเลือกถมดินในส่วนผิวหน้าก็พอ ในส่วนของดินที่ต้องการ ปลูกต้นไม้ นั้นถ้าเป็นไปได้ควร เลือกใช้ดินที่มีสีออกคล้ำ ๆ ที่เรียกว่า หน้าดิน เพราะเป็นดินที่มีฮิวมัสและบรรดาแร่ธาตุต่าง ๆ เหมาะสำหรับ การปลูกพืชต่าง ๆ
        คิดจะถมดินแล้ว มีปัจจัยอะไรที่ต้องคำนึงกัน บ้างในการถมดินนั้น สถานที่ที่ต่างกัน ลักษณะของการถมดินที่ต่างกัน ราคาค่าถมดินนั้นก็ย่อมจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยหลายอย่าง เพราะฉะนั้น ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจถมดิน นอกจากท่านจำเป็นต้องคำนึงถึง งบประมาณของท่าน แล้วควรพิจารณา ปัจจัยอื่น ๆ ไปพร้อม ๆ กันด้วยดังนี้

1. ชนิดของดิน

                1.1 หน้าดิน ชั้น A-horizon : zone of leaching โดยทั่วไปแล้วหน้าดินตั้งแต่ระดับความลึก 0-0.50 ม. บางที่ก็ถึง1.00 ม. มักจะมีราคาแพงที่สุด เนื่องจากเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์จะมีสีดำคล้ำๆ เหมาะสำหรับการปลูกต้นไม้
              1.2 หน้าดินชั้น B-horizon : zone of accumulation ชั้นดินลึกกว่าชั้น A ลงไป ดินออกสีน้ำตาลๆ มีทรายปน ราคาจะถูกลง เพราะแร่ธาตุในดินจะน้อย ถมที่ดีแต่ไม่เหมาะจะปลูกต้นไม้
              1.3 หน้าดิน C-horizon : partially decomposed parent material ชั้นลึกลงไปมากๆ จนดินออกเป็นสีขาวๆ จะปลูกอะไรไม่ขึ้นเลย แต่นำมาใช้ถมได้ดีเพราะราคาถูกที่สุด

        เพราะฉะนั้นในการเลือกดินที่จะถม จึงต้องพิจารณาด้วยว่า ท่านมีความประสงค์ที่จะนำดินไปใช้ประโยชน์อย่างไร และงบประมาณที่มีมากหรือน้อยเท่าใด

 2. ลักษณะการถมดิน 


        ถ้าใช้รถตัก-ตักดินแล้วเอามากอง ๆ ไว้ ดินจะดูเต็มเร็วแต่ดินจะไม่แน่น และจะทรุดตัวในภายหลังอย่างมากด้วย (ยิ่งถ้าเป็นงานเหมาถมดิน ควรที่จะต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก ต้องมีคนคอยดูที่หน้างาน) ถ้าถมดินในลักษณะ ถมแล้วใช้รถบรรทุกถอยทับ ดินจะแน่นขึ้น จะได้ดินปริมาณมากและทรุดตัวในภายหลังน้อย อาจจะต้องทำการตกลงว่า จะถมอย่างเดียว หรือบดอัดด้วย ครับ

3. การขนส่งและราคาค่าขนส่ง


      มักจะเกี่ยวเนื่องกับระยะทาง ระหว่างบ่อดินที่เราซื้อดินมากับสถานที่ที่จะถมดิน ยิ่งไกลก็ยิ่งแพง ยิ่งในเขตตัวเมืองที่รถบรรทุกเข้าถึงได้ลำบาก อาจต้องจ่ายค่าอำนวยความสะดวกในการผ่านทางบ้าง ก็ทำให้ราคาค่าถมดิน แพงขึ้นได้อีก

     การปรับหน้าดิน หรือการปรับสภาพที่ดินให้มีระดับเดียวกัน เป็นสิ่งที่สำคัญที่เราต้องเตรียมไว้สำหรับการสร้างบ้าน การว่าจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้างก็ถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างบ้าน เราต้องเลือกบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ มีช่างที่มีประสบณ์การ มีเครื่องมือที่ทันสมัย โดยบริษัทวันเอ็มจำกัด เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่ใช้วัสดุที่มีคุณภาพ ทีมงานที่มีฝีมือพร้อมให้คำปรึกษา สามรถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 093-5599655 หรือ www.hbaan.com/building.html

ขอบคุณข้อมูลจาก www.novabizz.com

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สินเชื่อ ซื้อบ้าน สร้างบ้าน มีอะไรบ้าง ?

ข้อแนะนำเกี่ยวกับสินเชื่อ 

            อัตราดอกเบี้ยบ้านเราช่วงนี้กำลังเป็นขาขึ้น หลายคนคงได้ยินได้ฟังคำแนะนำให้รีไฟแนนซ์ (Refinance) เงินกู้ซื้อบ้าน จากเงินกู้อัตราดอกเบี้ยลอยตัวมาเป็นเงินกู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะเวลานานๆ กัน เนื่องจากเชื่อกันว่าทำแล้วจะดี จะก่อให้เกิดประโยชน์กับคนซื้อบ้านมาก
            ทั้งนี้ในบรรดาเงินกู้ซื้อบ้านที่พบเห็นกันบ่อยๆ ในบ้านเรา รวมถึงแบบอื่นๆ ที่น่าจะได้มีโอกาสพบเห็นกัน หากจำแนกกันจริงๆ อาจแยกได้เป็น 7 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อดีข้อเสียตรงไหน เหมาะใช้อย่างไรและ เมื่อไหร่ ขออนุญาตนำมาแจกแจงเพื่อเป็นประโยชน์กับนักลงทุนที่คิดจะรีไฟแนนซ์ช่วงนี้กัน 

       1.เงินกู้แบบดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate Mortgage: FRM) 
           เงินกู้ซื้อบ้านประเภทนี้จะมีอัตราดอกเบี้ยคงที่เท่ากับอัตราที่กำหนดในตอนกู้ยืมเงิน และเงินผ่อนชำระก็จะคงที่เท่ากันตลอดระยะเวลาการกู้ยืม โดยเงินที่ผ่อนชำระนี้ในช่วงต้นๆ จะจ่ายเป็นค่าดอกเบี้ยเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อผ่อนไปนานๆ เข้าส่วนที่เป็นดอกเบี้ยจะเหลือน้อยลง ขณะที่การชำระคืนเงินต้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  
        ข้อดี ของเงินกู้ลักษณะนี้ก็คือหากอัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดเพิ่มสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะไม่ปรับสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะทำให้ผู้กู้ได้กำไรจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอีกส่วนหนึ่งด้วย
         แต่จุดอ่อนของเงินกู้ประเภทนี้ก็คืออัตราดอกเบี้ยมักสูงกว่าเงินกู้แบบอื่น เนื่องจากธนาคารจะต้องคิดเผื่อไว้สำหรับความเสี่ยงในการที่อัตราดอกเบี้ยในอนาคตจะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งทำให้โดยทั่วไปแล้วยิ่งกู้ดอกเบี้ยคงที่ระยะเวลาสั้นเท่าไหร่ ดอกเบี้ยก็จะถูกลงเท่านั้น แต่มักจะถูกกว่ากันไม่มากนัก ตัวอย่างเช่น กู้ดอกเบี้ยคงที่ 30 ปี อัตราดอกเบี้ยจะสูงกว่ากู้อัตราดอกเบี้ยคงที่ 15 ปี
         เงินกู้ชนิดนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบเสี่ยง และไม่ใช่นักลงทุน โดยเฉพาะคนที่กู้เพื่อซื้อบ้านอยู่เอง โดยตั้งใจจะอาศัยอยู่ระยะยาวนานเกินกว่า 3 ปีขึ้นไป ต้องการผ่อนชำระเท่ากันทุกเดือน โดยไม่ต้องกังวลกับการที่ธนาคารจะปรับขึ้นเงินค่าผ่อนเมื่อดอกเบี้ยขึ้น
         2.เงินกู้แบบดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงได้ (Adjustable-Rate Mortgage: ARM)
          เนื่องจากดอกเบี้ยเงินกู้ชนิดนี้จะปรับขึ้นลงตามภาวะตลาด ธนาคารที่ปล่อยกู้จึงไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงในเรื่องอัตราดอกเบี้ยมากเหมือนการปล่อยเงินกู้แบบดอกเบี้ยคงที่ การกู้ยืมสินเชื่อชนิดจึงมักทำได้ง่ายกว่า และอัตราดอกเบี้ยจะต่ำกว่าเงินกู้แบบดอกเบี้ยคงที่และผ่อนน้อยกว่า
       โดยทั่วไปแล้วเงินกู้แบบนี้ผู้กู้ถ้าไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงยอดชำระหนี้คืนทุกเดือนหรือทุกปี ก็อาจเลือกที่จะกู้ในลักษณะชำระคืนคงที่เป็นระยะเวลา 1 ปี 3 ปี 5 ปี 7 ปี หรือ 10 ปี ตามแต่ที่ธนาคารจะเปิดช่องให้ ยิ่งจำนวนปีน้อยดอกเบี้ยก็จะยิ่งถูก แต่การเลือกทำอย่างนี้ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดเพิ่มสูงขึ้น อาจทำให้เงินที่ผ่อนชำระที่กำหนดไว้คงที่ไม่พอค่าดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้เงินต้นเพิ่มขึ้นได้  เงินกู้ลักษณะนี้เหมาะกู้ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง หรือกำลังมีแนวโน้มลดต่ำลง แต่ถ้าเป็นในช่วงที่ดอกเบี้ยในท้องตลาดกำลังปรับเพิ่มสูงขึ้น เงินกู้แบบนี้จะส่งผลให้ผู้กู้มีต้นทุนสูงขึ้นได้
        สินเชื่อแบบนี้เหมาะกับคนที่ไม่คิดที่จะถือครองบ้านเกิน 5 ปี และนักลงทุนที่ต้องการซื้อบ้านราคาสูง แต่ไม่มีกำลังการผ่อนชำระในตอนนี้ ต้องการจ่ายเงินผ่อนชำระในช่วงแรกต่ำๆ ก่อน
            3.เงินกู้แบบจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย (Interest Only Mortgage)
          เหมือนกับเงินกู้แบบดอกเบี้ยลอยตัว เพราะคิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ผู้กู้จะจ่ายน้อยกว่า โดยเฉพาะในช่วงที่กำหนดไว้ในสัญญา เช่น กู้ 30 ปี กำหนดไว้ว่า 5 ปีแรกจะจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยล้วนๆ แต่ตั้งแต่ปีที่ 6 เป็นต้นไปจะต้องจ่ายคืนธนาคารทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย โดยคำนวณว่าใน 25 ปีที่เหลือจะต้องชำระคืนต่อเดือนเท่าไหร่ เงินต้นจึงจะหมด
         ข้อดีของเงินกู้ชนิดนี้ก็คือในช่วงปีต้นๆ จำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระจะน้อยมาก และเงินผ่อนชำระทั้งจำนวนยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวน เนื่องจากเงินทั้งหมดเป็นดอกเบี้ย 100%
        เงินกู้ชนิดนี้เหมาะสำหรับคนที่มีรายได้ไม่ดีช่วงแรก แต่มั่นใจว่าในอนาคตตัวเองจะมีรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเหมาะกับคนที่มีรายได้เป็นค่าคอมมิชชั่น และเหมาะสำหรับนักลงทุนระยะสั้นที่ซื้อบ้านไว้รอราคาขึ้นเพื่อขายต่อด้วย 
       4.เงินกู้แบบเลือกจ่ายได้ (Option Adjustable-Rate Mortgage: Option ARM)
        มีลักษณะเป็นเงินกู้แบบอัตราดอกเบี้ยลอยตัวแต่ยืดหยุ่นต่อผู้กู้มากที่สุด โดยผสมผสานระหว่างการยืดหยุ่นเรื่องดอกเบี้ย ระยะเวลาและเทอมการชำระเงินเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้เป็นทางเลือกสำหรับผู้กู้
 ทั้งนี้ในต่างประเทศมักมีให้ผู้กู้เลือกได้ 4 แบบคือแบบผ่อนน้อยที่สุด แบบเลือกจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย แบบจ่ายหมดใน 30 ปี และแบบจ่ายหมดใน 15 ปี
       ทุกเดือนธนาคารจะส่งรายละเอียดแจ้งให้ลูกค้าทราบว่าลูกค้ามีทางเลือกแบบใดบ้าง และแต่ละแบบต้องผ่อนเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นเงินกู้ประเภทที่เปิดโอกาสยืดหยุ่นให้ผู้กู้มาก ดังนั้นจึงเป็นเงินกู้ที่ได้รับความนิยมมากในต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐ
       เงินกู้ประเภทนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะนำมาใช้กับการลงทุนระยะสั้นๆ กับอสังหาริมทรัพย์ และยังเหมาะสำหรับคนที่มีรายได้ไม่แน่นอน เพราะเป็นเงินกู้ที่เอื้ออำนวยในลักษณะเดือนไหนรายได้น้อยก็จ่ายน้อยได้ แต่พอได้โบนัสหรือค่าคอมมิชชั่นก็จ่ายมาก แต่เงินกู้แบบนี้ถือว่าไม่เหมาะกับคนที่มีรายได้แน่นอน
      5.เงินกู้ที่การชำระคืนเพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ(Graduated Payment Mortgage: GPM) 
      เงินกู้แบบนี้การผ่อนชำระรายเดือนจะเริ่มต้นในระดับที่ต่ำก่อน และจะกำหนดให้มีการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอัตราคงที่ เช่น อาจกำหนดให้ต้องผ่อนเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราปีละ 3% จนกระทั่งเมื่อการผ่อนชำระสูงเกินกว่าระดับที่ต้องผ่อนตามปกติ ซึ่งเป็นระดับที่กำหนดหรือตกลงกัน เงินผ่อนชำระก็จะคงที่ไม่เพิ่มสูงขึ้นอีกต่อไป
       เงินกู้ชนิดนี้เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนหนุ่มสาวที่เพิ่งซื้อบ้านเป็นครั้งแรก หรือเหมาะกับคนที่ต้องการซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยในระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี
      6.เงินกู้แบบเร่งสัดส่วนความเป็นเจ้าของ (Growing Equity Mortgage: GEM)
         เงินกู้ประเภทนี้การจ่ายคืนเงินกู้จะเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราที่กำหนด ซึ่งเงินผ่อนชำระส่วนที่เพิ่มขึ้นนี้จะถือเป็นส่วนที่เข้าไปตัดเงินต้นที่กู้ยืมให้ลดน้อยลง
       ตัวอย่างเช่น นายอนุชากู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยแบบ GEM โดยตกลงกันว่าการผ่อนชำระรายเดือนให้กับสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นปีละ 5% ซึ่งการกู้ยืมภายใต้เงื่อนไขแบบนี้จะทำให้ระยะเวลาการผ่อนชำระลดลงครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับการกู้ยืมเงินแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่
       เงินกู้ประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ซื้อบ้านซึ่งต้องการผ่อนชำระคืนเงินกู้ให้หมดเร็วๆ และผู้ซื้อที่เพิ่งทำงานใหม่ๆ ที่รายได้มีลักษณะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทำงานไปนานๆ และแน่ใจว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าความสามารถในการผ่อนชำระจะเพิ่มขึ้นได้เป็นเท่าตัว
7.สินเชื่อที่ต้องชำระคืนเงินต้นก้อนใหญ่ (Balloon Mortgage) 
       เป็นสินเชื่อที่กำหนดเงื่อนไขให้มีการชำระคืนเงินต้นให้หมดในครั้งเดียว หรือในบางกรณีอาจกำหนดให้มีการชำระคืนเงินต้นก้อนใหญ่เพียงส่วนหนึ่งของเงินต้นทั้งหมดก็ได้ เช่น การกู้ยืมที่มีข้อกำหนดต้องผ่อนชำระคืนเฉพาะค่าดอกเบี้ยเดือนละ 20,000 บาท เป็นระยะเวลา 5 ปี พอครบแล้วต้องชำระคืนเงินต้นอีก 2,000,000 บาท
    
      การกู้เงินซื้อบ้านจากธนาคารต่างๆ เราควรศึกษาข้อมูลให้ดีถึงอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากแต่ละธนาคารจะมีอัตราดอกเบี้ยนที่แตกต่างกัน และการให้วงเงินการซื้อบ้าน สร้างบ้านที่ต่างกันด้วย โดยเงินที่ได้จากการกู้ต้องเพียงพอกับงบประมาณของการซื้อบ้าน หรือท่านใดที่ต้องการสร้างบ้านก็ต้องกู้ให้ได้ตามงบประมาณการสร้าง 
         ซึ่งการสร้างบ้านจะมีเอกสารขั้นตอนอีกหลายอย่างที่ต้องศึกษา หรือหากคุณกำลังมองหาบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่จะให้ความช่วยเหลือคุณในทุกด้านในการก่อสร้างบ้าน คือ บริษัทวันเอ็ม จำกัด เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง รับสร้างบ้าน ที่มีทีมงานคุณภาพ พร้อมให้คำปรึกษาคุณในทุกๆขั้นตอน มีสำนักงานอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดศรีสะเกษ สามารถโทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 093-5599655  หรือที่ www.hbaan.com/building.html 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.homedecorthai.com

รับเหมาก่อสร้าง รับสร้างบ้าน อุบลราชธานี

หากคุณจะสร้างบ้าน ปลูกบ้าน สร้างเรือนหอ ต้องเรียกใช้เรา บ.วันเอ็ม จำกัด

          บริษัท วันเอ็ม จำกัด เป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง รับสร้างบ้าน ทั่วพื้นที่ภาคอีสาน โดยมีวัสดุ อุปกรณืที่ทันสมัย และคนงานที่เพียงพอต่อความต้องการ ของลูกค้า เหตุผลที่ทำไมคุณถึงต้องเลือกเรา

รับเหมาก่อสร้าง รับสร้างบ้าน ด้วยทีมงามมืออาชีพทีมงานมืออาชีพ ควบคุมงานโดย วิศวกร
ทีมงานวิศวกรสถาปนิกและช่างมืออาชีพคอยควบคุมและดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด เรามีประสบการณ์ในการก่อสร้างมาอย่างยาวนานทำให้ลูกค้าไว้วางใจในผลงานของเรา
รับเหมาก่อสร้าง รับสร้างบ้าน  ด้วยวัสดุเกรด Aใช้วัสดุที่มีคุณภาพ เกรด A
สดุที่ใช้ในการรับเหมาก่อสร้าง เราใช้วัสดุเกรด A  เพื่อให้บ้านของคุณ แข็งแรง ทนทาน ไม่มีปัญหาตามมาที่หลังให้คุณกังวนใจ
รับเหมาก่อสร้าง รับสร้างบ้าน  ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานรับสร้างบ้านที่ได้มาตฐาน
เราเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ แบบ้านที่ถูกคำนวณมาอย่างดี และการควบคุมงานโดยวิศวกร จึงทำให้งานที่เรารับสร้างบ้าน ออกมามีคุณภาพ
รับเหมาก่อสร้าง รับสร้างบ้าน บ้านประหยัดพลังงานสร้างบ้านประหยัดพลังงาน
เราออกแบบให้บ้านมีความเหมาะสมกับสภาพอากาศ เลือกใช้วัสดุที่ไม่ทำให้บ้านร้อน ทำให้ประหยัดพลัง ลดภาวะโลกร้อน
รับเหมาก่อสร้าง รับสร้างบ้าน  ทำงานด้วยความซื้อสัตย์ ตรงต่อเวลาทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา
เมื่อเราตกลงเซ็นสัญญากับลูกค้า เราจะยึดมั่นในสัญญาใช้วัสดุ อุปกรณ์ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ และสร้างบ้านให้ตรงเวลาตามที่ได้วางแผนไว้
รับเหมาก่อสร้าง รับสร้างบ้าน  ทำงานด้วยความซื้อสัตย์ ตรงต่อเวลารับประกันผลงาน ไม่ทิ้งงานไม่หนีงาน
เรารับประกันผลงานทุกหลังที่บริษัทรับสร้างบ้าน โดยรับประกันดูแลตามที่ได้ตกลงในสัญญา  พร้อมให้คำปรึกษาตลอดระยะเวลาการรับประกัน

             โดย บริษัท วันเอ็ม จำกัด บริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการสร้างบ้าน เขียนแบบ รับเหมาก่อสร้าง รบสร้างบ้านตามที่ลูกค้าต้องการ ด้วยทีมงานคุณภาพทำให้คุณมั่นใจได้ว่วบ้านที่คุณสร้างจะมีความคงทน แข็งแรง เรามีสำนักงานอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดศรีสะเกษ สามารถโทรสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 093-5599655 หรือที่ www.hbaan.com/building-ubonratchathani.html